Home > เครื่องประดับแบบดั้งเดิม > 5 เคล็ดลับเลือก 'แบบแหวนพลอย' ให้คุณดูปังได้แบบง่ายๆ • Above Diamond

5 เคล็ดลับเลือก 'แบบแหวนพลอย' ให้คุณดูปังได้แบบง่ายๆ • Above Diamond

เพราะเครื่องประดับที่งดงามไม่จำเป็นต้องประดับด้วยเพชรเสมอไป เราอยากพาคุณมาชื่นชมความงามของ “แบบแหวนพลอย” ที่จะช่วยเปิดโลกเครื่องประดับของคุณให้กว้างขึ้นไปอีก

สำหรับลูกค้าหลายๆท่าน เมื่อนึกถึงการสั่งทำแหวน ส่วนมากมักนึกถึงการสั่งทำแหวนเพชรแท้ อันถือเป็นอัญมณีที่เปล่งประกายสีขาวเจิดจรัสและมีค่ามากที่สุด ดังที่มีคำกล่าวว่า “Diamonds are a girl’s best friend.”

แต่เชื่อว่า การจำกัดตัวเลือกการซื้อแหวนของคุณอยู่เพียงแค่แหวนเพชร ก็อาจทำให้คุณพลาดการได้ชื่นชมความงามของแหวนอัญมณีในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถเข้ามาสร้างสีสันและความสนุกในการสั่งทำเครื่องประดับแหวนให้มากขึ้นอีก

แต่ในการสั่งทำแหวนพลอย การเลือก “แบบแหวนพลอย” ที่ใช่ ก็อาจเป็นเรื่องใหม่ของใครหลายคน คุณอาจไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกประเภทพลอยแบบไหนดี แล้วนำมาใส่ในตัวเรือนแบบไหน วัสดุอะไร แล้วเฉดสีพลอยที่ใช่จะเป็นแบบไหน

ในบทความนี้ จะแนะนำให้คุณรู้จักกับไอเดียแบบแหวนพลอยในรูปแบบต่างๆที่เหมาะกับโอกาสที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นแบบแหวนพลอยมินิมอลไปจนถึงแบบอลังการ แบบแหวนพลอยผู้ชายและแบบแหวนพลอยสำหรับเป็นแหวนแต่งงาน ให้คุณสนุกไปกับการเลือกซื้อแหวนอัญมณีอีกหลากหลายรูปแบบ

เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เราควรมาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของอัญมณีเหล่านี้ ว่าพลอยชนิดไหนเป็นสีอะไร มีรูปทรงแบบไหนให้เลือก แล้วถ้าจะสั่งซื้อพลอยต้องรู้อะไรบ้าง ดังนี้ค่ะ

“อัญมณี” มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า gems อัญมณีธรรมชาติ (Natural gems) คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากแร่ธาตุชนิดเดียวหรือหลายๆชนิดรวมกันด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เพชร (diamond) และพลอย (colored stones)

• อัญมณีอนินทรีย์ (Inorganic Gems หรือจะใช้คำว่า gemstones ก็ได้) คือ อัญมณีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้จากแร่ หิน

• อัญมณีอินทรีย์ (Organic Gems) คือ อัญมณีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น มุก อำพัน เป็นต้น

และเมื่อนำมาเจียระไนและขัดเงา ก็จะส่งผลให้มีความสวยงาม มีประกายในเฉดสีต่างๆตามชนิดของแร่ธาตุ นิยมนำมาประดับลงบนตัวเรือนเครื่องประดับในหลากหลายรูปแบบ

โดยพลอยส่วนใหญ่จะมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง จะมีเพียงพลอยบางประเภทที่มีเนื้อสัมผัสอ่อนแต่ก็ยังสามารถนำมาใช้ทำเครื่องประดับได้ เพราะการที่จะเรียกสิ่งนั้นๆว่าเป็นอัญมณีได้ ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการ คือ ความสวยงาม ความคงทนถาวร และความหายาก ดังนั้น หากมีคุณสมบัติครบตามนี้ ก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าและราคาสูงนั่นเองค่ะ

• Semi-precious gemstones คือกลุ่มอัญมณีราคาไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มแรก เช่น อะความารีน โทแพซ (เป็นพวกพลอยเนื้ออ่อนซะส่วนใหญ่)

• โดดเด่นเป็นตัวเอง: เมื่อเทียบกับการเลือกซื้อแหวนเพชร การซื้อแหวนพลอยจะทำให้คุณได้เครื่องประดับแหวนอัญมณีที่ดูโดดเด่น ด้วยสีของพลอยแต่ละเม็ดที่เปล่งประกายอย่างไม่เหมือนใครแม้แหวนพลอยของคุณจะมีดีไซน์ที่เรียบง่าย

• ราคาย่อมเยากว่า: คุณยังสามารถประดับแหวนด้วยพลอยเม็ดใหญ่กว่า ดูโดดเด่นกว่า ในงบประมาณที่เท่ากันหากเทียบกับการซื้อแหวนเพชร เนื่องจากเมื่อเทียบราคากับเพชรแล้ว พลอยส่วนใหญ่จะมีราคาที่ต่ำกว่า

• มีตัวเลือกเยอะกว่า: นอกจากนี้ การซื้อแหวนพลอยยังทำให้คุณสามารถเปิดตัวเลือกงานออกแบบเครื่องประดับได้ไม่รู้จบ เพราะมีพลอยสีต่างๆให้คุณเลือกมากมาย อีกทั้งยังสามารถนำพลอยหลากหลายสีมาแมตช์กันได้หลากหลายรูปแบบ

• เนื้อแข็งไม่เท่าเพชร: นั่นหมายถึงว่า แหวนพลอยของคุณอาจมีโอกาสบิ่นหรือเป็นรอยง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหากเป็นพลอยเนื้อแข็งที่นิยมนำเอามาทำแหวน ทั้งทับทิม ไพลิน หรือบุษราคัม ก็ถือว่าทนทาน เป็นรอยยาก รองจากแหวนเพชรได้เลยค่ะ

• พลอยแต่ละเม็ดจะไม่เหมือนกันเลยเช่นเดียวกันกับเพชร: ทำให้ถ้าหากเม็ดพลอยที่คุณมี หลุดออกจากหัวแหวนหรือเกิดความเสียหาย คุณอาจต้องใช้เวลามากกว่าปกติเพื่อจะหาพลอยในสีและรูปทรงเดิมมาเปลี่ยนแทนได้ เพราะพลอยมักถูกเจียระไนเป็นรูปทรงแฟนซีหลากหลายรูปแบบ มากกว่าการเจียระไนเป็นรูปทรงมาตรฐานจำนวนมากแบบการเจียระไนเพชรนั่นเองค่ะ

ไม่เหมือนกับเพชรที่เป็นอัญมณีเพียงชนิดเดียวที่ประกายโดดเด่นจนลืมไม่ลง แต่คุณสามารถเลือก “แบบแหวนพลอย” ด้วยพลอยหลากหลายชนิดนับไม่ถ้วน โดยจะมีชนิดของพลอยแบบต่างๆที่นิยมนำมาประดับบนเรือนแหวน ซึ่งเราแนะนำให้เลือกพลอยที่มีค่าความแข็งจาก Mohs Hardness Scale ในระดับ 7.5/10 ขึ้นไป ดังนี้ค่ะ:

ทับทิมถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอัญมณีที่ไม่ใช่เพชรที่มีความแข็งที่สุด ทับทิมจัดอยู่ในตระกูลแร่คอรันดัม ซึ่งมีความแข็งเท่ากับ 9 บนโมห์ส-สเกล มีสีแดงให้เลือกหลากหลายเฉดตั้งแต่สีแดงเข้มสดหรือที่รู้จักกันชื่อ สีแดงเลือดนก (pigeon blood ruby) แดงสด แดงอมชมพู แดงอมส้ม โดยเฉดสีแดงสดที่ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป จะเป็นทับทิมที่สวยที่สุดและมีมูลค่าสูงที่สุด

ในความเชื่อตามหลักของแหวนเสริมดวง ทับทิมหมายถึงความสำเร็จ ลาภยศ และการมีอายุยืน อีกทั้งยังเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันอาทิตย์อีกด้วยค่ะ

ไพลินถือเป็นอัญมณีพี่น้องตระกูลคอรันดัม ตระกูลเดียวกันกับทับทิม ที่มีเนื้อแข็งอยู่ในระดับ 9/10 เช่นเดียวกัน แต่ไพลินจะมีสีน้ำเงินสดไปจนถึงสีน้ำเงินซีด โดยเฉดสีน้ำเงินสดที่ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป จะเป็นเฉดสีไพลินที่สวยที่สุดค่ะ

ในความเชื่อตามหลักแหวนเสริมดวง ไพลินช่วยเสริมเรื่องความรัก ความเมตตากรุณา และความร่ำรวย และสามารถใส่เป็นแหวนอัญมณีประจำวันเกิดของคนเกิดวันศุกร์ได้อีกด้วยค่ะ

บุษราคัม ก็ยังคงเป็นอัญมณีที่อยู่ในตระกูลคอรันดัม ที่มีความแข็งมากที่สุดในหมู่อัญมณี โดยจะมีสีเหลืองหลากหลายเฉดให้เลือก

ตามหลักของแหวนเสริมดวง แหวนพลอยบุษราคัมช่วยเสริมเสน่ห์ให้เป็นที่รัก และยังเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของคนเกิดวันจันทร์อีกด้วยค่ะ

มรกตมีระดับความแข็งอยู่ที่ 7.5/10 ซึ่งก็ถือว่ายังมีความทนทานเพียงพอ ผู้คนมักมองมรกตว่าเป็นอัญมณีที่มีสีเขียวน่าหลงใหลและซ่อนความลึกลับน่าค้นหาเอาไว้ โดยคุณสามารถเลือกซื้อแบบแหวนพลอยมรกตได้ในหลากหลายเฉดสี ตั้งแต่สีเขียวโทนปานกลาง (ถ้าเป็นสีเขียวโทนอ่อนจะเรียกว่า green beryl) ไปจนถึงสีเขียวเข้ม สีเขียวอมเหลืองไปจนถึงสีเขียวฟ้า

และมรกตเป็นประเภทอัญมณีที่มักจะมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่าเป็นปกติ จึงไม่ต้องตกใจไปถ้าหาก แหวนมรกตของคุณจะมีตำหนิอยู่ภายในบ้าง เพียงแต่คุณต้องระวังเวลาเลือกมรกตโดยไม่เลือกแบบที่มีตำหนิใกล้กับพื้นผิวหรือขอบพลอยมากจนเกินไป

ในตำราแหวนเสริมดวง มรกตจะหมายถึงการเติบโต การมีพลัง มีความศรัทธากล้าหาญและสามารถป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงได้ อีกทั้งยังเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของคนเกิดวันพุธอีกด้วยค่ะ

อะความารีนเป็นอัญมณีที่มีสีฟ้าใส เล่นแสงได้ดีมากและดูสะอาดตา เป็นสัญลักษณ์ของความสงบเงียบและการฟื้นฟูเยียวยา อะความารีนแทบจะไม่มีตำหนิให้เห็นเลยหรือถ้ามีก็จะมีให้เห็นน้อยมาก และมีความแข็งที่ระดับ 7.5/10 เหมือนกับมรกตเพราะเป็นพลอยประเภทเดียวนั่นเองค่ะ

อะความารีนมีสีฟ้า ตั้งแต่ฟ้าใสไปจนถึงฟ้าตุ่นอมเทา โดยอะความารีนที่มีเนื้อสะอาด และมีสีอมเขียวเหมือนน้ำทะเลสดใส จะมีมูลค่าสูงที่สุดค่ะ

โทแพซมีระดับความแข็งอยู่ที่ 8/10 ซึ่งถือว่าดีรองลงมาจากทับทิมและไพลินเลยทีเดียว โดยทั่วไปตามธรรมชาติโทแพซจะมีหลายเฉด แต่ส่วนใหญ่เราจะพบสีอมน้ำตาล เหลืองอ่อนๆ อมชมพู เขียว หรือไร้สี แต่สีที่นิยมนำมาทำแหวนพลอยจะเป็นโทแพซหายากที่มีสีน้ำเงิน ซึ่งก็มีหลายเฉด ทั้งสีฟ้าสดอมเขียว (Paraiba) สีฟ้าสดปานกลาง (Ice Blue) สีน้ำเงินสด (Swiss Blue) สีน้ำเงินเข้ม (London Blue) และสีฟ้าอ่อนเหมือนท้องฟ้า (Sky Blue) สีน้ำเงินในตลาดที่เราเห็นกันมักจะเป็นโทแพซที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในตลาดเป็นปกติกันอยู่แล้ว เพราะโทแพซสีฟ้าธรรมชาติหายากมากๆ อันเป็นสีที่ได้รับความนิยมและมีราคาสูงค่ะ

แม้ว่าโทแพซจะมีความแข็งที่ดี แต่กลับเปราะบางมาก ดังนั้นการสวมใส่และการทำความสะอาด จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ

ซึ่งโทแพซเป็นอัญมณีประจำราศีของราศีพิจิก และสื่อความหมายถึงเรื่องความรักและความโชคดีอีกด้วยค่ะ

อเล็กซานไดรท์ เมื่อนำมาประดับบนเรือนแหวนก็จะกลายเป็น “แบบแหวนพลอย” ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เนื่องจากเป็นอัญมณีมีสีที่เปลี่ยนสีได้ตามมุมมองของเรา (ปรากฏการณ์ color change) โดยอเล็กซานไดรท์มีระดับความแข็งอยู่ที่ 8.5/10 ความพิเศษอยู่ตรงที่เค้าสามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงของสีที่มี ตามแหล่งกำเนิดของแสงที่มาตกกระทบต่างกัน หากได้ร้บแสงจากหลอดไฟสีขาวหรือหลอดฟลูออเรสเซนท์ แสงสีขาวอมฟ้า หรือแสงแดดธรรมดา เราจะเห็นอเล็กซานไดรท์เป็นสีเขียว สีเขียวอมน้ำตาล หรืออมน้ำเงิน คล้ายสีของมรกต (Emerald) แต่หากได้ร้บแสงจากหลอดไส้ที่ให้แสงสีส้ม ก็จะเห็นเป็นสีแดง เหมือนประโยคภาษาอังกฤษที่พูดถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “Emerald by Day, Ruby by Night” นั่นเองค่ะ

วิธีเลือกพลอยอเล็กซานไดรท์ ให้ได้พลอยสวยที่สุด ก็ให้ดูเฉดสีตอนแสงธรรมดา ไม่ควรเลือกพลอยที่ขุ่น หรือมืดจนเกินไป และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเลือกสีเป็นหลักค่ะ

พลอยแบบไหนที่ควรระวังเป็นพิเศษเมื่ออยู่บนแหวน

อันที่จริงแล้ว พลอยทุกประเภทสามารถนำมาประดับบนเรือนแหวน เกิดเป็นแบบแหวนพลอยเฉพาะตัวได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับใครที่อยากให้แหวนพลอยอยู่กับเราไปนานๆ หรืออยากจะหาแบบแหวนพลอยไว้ใช้ทำเป็นแบบแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานที่มีความทนทาน ก็ควรเลือกพลอยที่มีเนื้อแข็งและไม่เปราะหักง่ายดังประเภทพลอยที่แนะนำไว้ข้างต้น

แต่ก็มีพลอยอีกจำนวนหนึ่งที่สามารถนำมาประดับบนแหวนได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องระมัดระวังขณะสวมใส่มากขึ้น เพราะพลอยบางชนิดแตกง่าย บางชนิดเป็นขีดข่วนได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่พลอยเนื้ออ่อนหาง่าย และราคาไม่แพง คนจึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับที่หาได้ทั่วไป ชนิดของพลอยดังกล่าวมีทั้ง:

มีความแข็งระดับ 7 เราสามารถสวมใส่ทุกวันได้สบายๆ (amethyst เป็นหนึ่งแร่ตระกูล quartz ที่เป็นแร่ที่มีความทนทานมากแร่หนึ่ง) แต่การเก็บรักษาก็ควรระมัดระวังไว้ก่อน เนื่องจากหากเก็บรวมกับอัญมณีชนิดอื่นที่มีความแข็งมากกว่า ก็จะทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนอเมทิสต์ได้ง่าย รวมถึงหลีกเลี่ยงกรดเข้มข้นต่างๆด้วยเช่นกันค่ะ

มีระดับความแข็งอยู่เพียง 6-6.5/10 มีสีน้ำเงินอมม่วงน่าหลงใหลไม่เหมือนพลอยสีอื่นใด สามารถเล่นสีได้สามสี เพียงมองในมุมต่างกัน นอกจากนี้เนื้อพลอยยังใสมากๆ แทบไม่ค่อยมีตำหนิภายในเลย แต่เนื่องจากมีความแข็งต่ำ จึงไม่แนะนำให้ทำเป็นแหวนที่ต้องใส่ทุกวัน เพราะนั่นเท่ากับว่าแทนซาไนต์ของคุณจะมีโอกาสเป็นรอยได้มากขึ้นตามการใช้งานนั่นเองค่ะ

มุกเป็นอัญมณีที่เกิดจากกระบวนการของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ แต่น่าเสียดายที่มุกมีความแข็งเพียงแค่ 2.5-4.5/10 คะแนนเท่านั้น ทำให้ไม่เหมาะจะนำมาทำเป็นแบบแหวนติดนิ้วค่ะ

ข้อควรระวังในการสวมใส่มุก ไม่ว่าจะทำเป็นเครื่องประดับแบบก็ตาม มุกจะค่อนข้างบอบบาง และไวกับพวกสารเคมีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกโลชั่น หรือแม้แต่น้ำหอมก็จะทำให้ความวาวของมุกลดลง

คือ ไม่ควรทำความสะอาดด้วยเครื่อง ultrasonic ไม่ควรเก็บไว้ในที่อับชื้นหรือในที่อากาศร้อน และควรเก็บถุงผ้าแทนห่อพลาสติก

แม้ว่าพลอยเหล่านี้จะไม่เหมาะนำมาประดับบนเรือนแหวนเพราะมีความเปราะบางกว่า แต่คุณยังคงสามารถนำมาประดับลงบนเครื่องประดับอื่นๆที่ไม่ได้มีการใช้งานหนัก ใช้บ่อย หรือเสี่ยงจะกระทบหรือเกี่ยวเข้ากับสิ่งของอื่นๆได้ง่าย เช่น จี้ห้อยคอ ต่างหู หรือแหวนพลอยสำหรับใส่ออกงานในโอกาสพิเศษได้ค่ะ

หลังจากพลอยผ่านการเจียระไนและขัดเงาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการแต่งเหลี่ยม (facet) นั่นเองค่ะ ซึ่งคุณสามารถเลือกแบบแหวนพลอยในรูปทรงต่างๆที่เหมาะกับสไตล์ของคุณได้ค่อนข้างหลากหลายกว่าการเลือกแบบแหวนเพชรเลยทีเดียว

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันอีกครั้งเกี่ยวกับคำศัพท์ที่เรามักจะเกิดความสับสนกันบ่อยๆ นั่นก็คือคำว่า “รูปทรง” กับ “รูปแบบการเจียระไน”

• รูปทรง (Shape) หมายถึง รูปทรงภายนอกที่เราเห็นเพชร/พลอยเม็ดนั้นๆ เช่น ทรงกลม (Round shape) ทรงหัวใจ (Heart shape) หรือทรงหยดน้ำ (Pear shape) เป็นต้น

• เหลี่ยมเกสร (Brilliant Cut): เป็นรูปแบบที่นิยมที่สุดในการเจียระไนเพชร มักมีหน้าเจียระไนเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือรูปว่าว วางตัวกระจายออกจากศูนย์กลางของพลอย ทั้งหมด 58 หน้า

• เหลี่ยมขั้น (Step Cut): มีหน้าการเจียระไนเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางตัวลดหลั่นเป็นขั้น ขอบเหลี่ยมเจียระไนจะวางตัวขนานกับขอบพลอยเสมอคล้ายขั้นบันได หากพลอยมีขนาดเล็ก มักเจียระไนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือรูปทรงบาเกต หรือหากขอบพลอยถูกตัดมุมออก จะเรียกว่า เหลี่ยมมรกต (Emerald cut)

• เหลี่ยมผสม (Mixed Cut): เป็นการเจียระไนที่ผสมระหว่างเหลี่ยมเกสร กับเหลี่ยมขั้น มักพบเห็นได้บ่อยในพลอยตระกูลคอรันคัม (ทับทิมและแซฟไฟร์สีต่างๆ) เนื่องจากสามารถเก็บเนื้อพลอยไว้ได้มาก รวมถึงทำให้พลอยมีสีอิ่มตัวมากที่สุดด้วย

• หลังเบี้ย/หลังเต่า (Cabochon): เป็นลักษณะการเจียระไนด้านบนเป็นโดมโค้งเรียบและขัดเงา ส่วนด้านล่างอาจโค้งหรือตัดตรงก็ได้ มักพบในการเจียระไนพลอยที่มีตำหนิค่อนข้างมาก หรือพลอยแสงผ่านได้น้อย-ทึบแสง เช่น หยก โอปอ ตาแมว พลอยสตาร์ เทอร์คอยส์ เป็นต้น

• แบบลูกปัด (Bead): การเจาะรูพลอยผ่านจุดศูนย์กลาง มักพบเห็นทั้งในรูปแบบของทรงกลม และแบบที่มีการเจียระไนเหลี่ยมด้านนอก (Faceted Bead)

สีของพลอยเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดลุคและสไตล์ให้กับแบบแหวนพลอยของคุณ โดยในแบบแหวนพลอยเดียวกัน หากแหวนวงหนึ่งประดับด้วยพลอยสีอ่อน ก็อาจให้ลุคดูเบาๆใสๆ สบายตา ในขณะที่พลอยสีเข้มกว่าจะให้ลุคหรูหรา ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งคุณสามารถเลือกพลอยสีใดก็ได้ที่เหมาะกับสไตล์ของคุณมากที่สุดค่ะ

โดยปัจจัยในการเลือกสีของพลอย จะมีอยู่ 3 อย่าง นั่นก็คือ เฉดสี (Hue), ความอิ่มของสี (Saturation), และความสว่างของสี (Tone)

พลอยที่มีเฉดสีเป็นสีโทนร้อน มักมีสีอมน้ำตาลได้ ส่วนพลอยเฉดสีโทนเย็น มักมีสีอมเทาได้ ดังนั้น การที่พลอยมีสีอมน้ำตาล/เทา จะส่งผลให้ความอิ่มของสีลดลง และมูลค่าของพลอยเม็ดนั้นๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย

ในแง่ของการออกแบบแหวนพลอย หากตัวเรือนแหวนใช้วัสดุที่ดูขาวอย่างเช่นทองคำขาวหรือแพลตตินั่ม ก็จะเหมาะกับการประดับพลอยในสีโทนเย็น ทั้งสีเข้มและสีอ่อน อย่างเช่นพลอยสีฟ้าอ่อน พลอยสีน้ำเงิน พลอยสีดำ หรือพลอยที่มีปรากฏการณ์พิเศษ อย่างเช่น มูนสโตน โอปอ เป็นต้น

แต่ถ้าหากคุณอยากประดับแหวนด้วยพลอยในสีโทนร้อน เช่นทับทิม ก็อาจจะเหมาะกับตัวเรือนโทนสีทอง ทั้งตัวเรือนทองคำ วานิลลาโกลด์ และโรสโกลด์มากกว่า

นอกจากนี้ ถ้าคุณเลือกประดับแหวนพลอยด้วยไพลิน ทับทิม หรือมรกต ลุคที่ได้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสีของตัวเรือน โดยถ้าหากประดับบนตัวเรือนที่ออกสีเงินหรือสีขาว ก็จะทำให้พลอยมีเฉดสีที่อมน้ำเงินมากขึ้น ให้ลุคที่ดูทันสมัยและสุขุม แต่ถ้าหากนำมาประดับบนตัวเรือนวัสดุทองคำหรือโทนสีอุ่น พลอยก็จะมีเฉดสีดูสด อมเหลืองแบบโทนอุ่นมากยิ่งขึ้น ให้ลุคที่ดูหรูหราและโดดเด่น

ถือเป็นข้อดีสำหรับคนที่ต้องการสั่งทำแบบแหวนพลอยที่สามารถเลือกพลอยมาประดับได้ ในขนาดที่ใหญ่กว่าเพชรในราคาเท่ากัน ทำให้คุณอาจสั่งทำแบบแหวนพลอยในฝันขนาดตั้งแต่ 2 กะรัตขึ้นไปก็ย่อมได้

ดังนั้น ในการเริ่มตั้งงบประมาณ คุณอาจจะมีตัวเลขในใจของงบที่ต้องการ ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน (หรือบางครั้งหลักล้าน สำหรับพลอยเม็ดใหญ่คุณภาพดีที่หายาก) แล้วค่อยมาเลือกขนาดและคุณภาพของพลอยและตัวแหวนที่เหมาะสมกับงบประมาณก็ได้ หรือคุณอาจจะนำภาพของแบบแหวนพลอยพร้อมขนาดพลอยที่ต้องการ มาให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตีราคาก่อนก็ได้เช่นกันค่ะ

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักการเลือกพลอย ทั้งประเภทรูปทรงและสีต่างๆแล้ว สิ่งที่จะเสริมให้สไตล์แบบแหวนพลอยของคุณสมบูรณ์ก็คือตัวเรือนแหวนที่เข้ากันได้ดีกับตัวพลอย และช่วยเสริมสไตล์ให้เครื่องประดับพลอยชิ้นโปรดของคุณดูดีที่สุด

แบบแหวนพลอยมาตรฐานในที่นี้จะหมายถึงแบบแหวนที่หลายๆคนมักสั่งทำกัน โดยจะมีอยู่ 4 แบบ นั่นก็คือ แบบแหวนพลอยเม็ดเดี่ยว (Solitaire), แบบแหวนพลอยล้อมเพชร (Halo), แบบแหวนพลอย 3 เม็ด (Three Stones) และแบบแหวนพลอยแบบมีก้าน (Pavé)

การเลือกแบบแหวนพลอยมินิมอลไม่ได้จำเป็นที่คุณจะต้องเลือกเพชรพลอยเม็ดเล็กเสมอไป หากแต่หมายถึงการเลือกดีไซน์แหวนที่ดูเรียบหรู แต่ยังคงความโดดเด่นไว้ไม่เยอะจนเกินงาม

การออกแบบแหวนพลอยมินิมอล สามารถเริ่มต้นได้จากแบบแหวนพลอยเม็ดเดี่ยวเรียบๆ หรือถ้าหากคุณอยากประดับเพชรให้ดูมีประกายมากขึ้นก็สามารถทำได้ แต่ให้ประดับเพชรเพียงเม็ดเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว

การฝังพลอยแบบฝังหุ้ม (Bezel Setting) ที่ทำให้ขอบพลอยดูเรียบเสมอกันก็เป็นอีกดีไซน์หนึ่งที่ทำให้แบบพลอยของคุณดูมินิมอลและทันสมัยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังเหมาะเป็นแหวนพลอยสำหรับใส่ทุกวัน เพราะการฝังหุ้มเช่นนี้จะช่วยปกป้องเม็ดพลอยบนแหวนได้ดียิ่งกว่าอีกด้วยค่ะ

หรือถ้าหากคุณอยากได้แบบแหวนพลอยมินิมอลที่ดูเล็กๆน่ารัก ก็สามารถเลือกดีไซน์ที่ประดับไปด้วยพลอยเม็ดเล็กๆ ในรูปแบบของแหวนแถวหรือ Eternity Ring ก็จะทำให้เรือนนิ้วของคุณดูหรูหราขึ้นแต่ยังคงสไตล์มินิมอลไว้ได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกันค่ะ

เพราะสีสันของพลอยหลากหลายชนิดคือจุดเด่นของการเลือกใช้พลอยมาประดับลงบนแหวน คุณจึงสามารถสนุกไปกับการเลือกสีพลอยที่เข้ากัน เพื่อนำมารังสรรค์เกิดเป็นแบบนั้นพลอยที่ไม่เหมือนใครได้

เคล็ดลับที่ทำให้คุณสามารถจับคู่สีของพลอยแล้วนำมาประดับลงบนแหวนได้อย่างโดดเด่นก็คือการรู้จัก “วงจรสี” (Color Wheel) เสียก่อน

ในการจับคู่สีสำหรับแบบแหวนพลอยสามารถทำได้หลัก 3 แบบ ดังนี้ค่ะ:

การจับคู่สีที่ต่างกันในวงจรสี: เช่น คุณอาจเลือกแซฟไฟร์หรือทับทิมมาเป็นพลอยเม็ดกลางบนแหวน แล้วประดับล้อมด้วยไพลินสีน้ำเงินเข้ม ก่อเกิดเป็น Contrast ของสีที่ดูโดดเด่นมากขึ้นค่ะ

การจับคู่สีที่อยู่ข้างๆกันในวงจรสี: เช่น คุณอาจสั่งทำแหวนพลอยสีใกล้เคียงกัน โดยที่พลอยเม็ดหนึ่งเป็นเบริลสีเหลือง จับคู่กันกับมรกตสีเขียวที่เป็นเฉดสีอยู่ข้างๆกัน

การใช้พลอยสีเดียวทั้งหมด แล้วเล่นกับโทน/เฉดสี: คุณอาจจะชอบพลอยสีใดสีหนึ่ง

แต่ในการสั่งทำแบบแหวนพลอยก็ไม่อยากให้ดูเรียบจนเกินไป คุณอาจจะประดับแหวนด้วยพลอยชนิดเดิมแต่คนละเฉดสีก็ได้เช่นกันค่ะ

คุณเองก็สามารถเลือกแบบแหวนพลอยที่ใช่สำหรับมาทำเป็นแหวนเสริมดวงได้เช่นกัน โดยให้เลือกดีไซน์ของแหวนให้ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์

เช่น การใส่แหวนเสริมดวงตามวันเกิด ให้เลือกอัญมณี ดีไซน์ และวัสดุที่เหมาะกับวันเกิดวันนั้นๆ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณเกิดวันอาทิตย์ ก็ควรเลือกใส่แหวนเกลี้ยงไม่มีลวดลาย หรือประดับด้วยอัญมณีสีแดงเช่นทับทิม ก็จะช่วยเสริมเรื่องโชคลาภและอำนาจบารมีให้คุณได้

นอกจากนี้ ยังมีแบบแหวนพลอยอีกประเภทที่นิยมมาทำเป็นแหวนเสริมดวง นั่นก็คือ “แหวนนพเก้า” ที่รวมเอาอัญมณีเสริมดวงทั้ง 9 อย่างมาไว้บนแหวนวงเดียวกัน ทำให้คุณได้รับพลังของแหวนที่จะช่วยเสริมดวงแก่คุณในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความรัก การเงิน ธุรกิจ หรือการงาน

สำหรับแหวนนพเก้า ปัจจัยหลักก็คือการนำเอาอัญมณีทั้ง 9 ชนิดมาประดับลงไป ทำให้คุณสามารถเลือกแบบแหวนพลอยที่เหมาะกับตัวคุณได้ตามต้องการ หรือสามารถออกแบบให้แหวนเสริมดวงดูมินิมอลเข้าสมัย ก็ทำได้ตามต้องการเช่นกันค่ะ

โดยส่วนมากแบบแหวนพลอยผู้ชายมักเป็นแบบแหวนที่มีขนาดกว้างประดับด้วยเม็ดพลอยขนาดใหญ่ตรงกลาง เพื่อสอดรับเข้ากับนิ้วมือที่ใหญ่กว่านิ้วของผู้หญิง ทำให้ดูมีมาด หรูหรา และสุขุมในเวลาเดียวกัน

ในการจะเลือกแบบแหวนพลอยผู้ชาย ก็มีไอเดียให้คุณเลือกอยู่ 3 แบบดังนี้ค่ะ:

แหวนพลอยเจียระไนขนาดใหญ่: โดยประดับเม็ดพลอยที่ถูกเจียระไนอย่างดีจนเปล่งประกายเอาไว้ตรงกลาง พลอยที่เป็นที่นิยมก็อย่างเช่นบุษราคัม ที่มีสีออกอำพัน มรกตสีเข้ม รวมไปถึงไพลินสีน้ำเงินเข้ม

แหวนพลอยเจียระไนขนาดเล็ก / แหวนพลอยแถว: โดยคุณอาจจะฝังพลอยเม็ดกลมสีเดียวกันหรือในคู่สีที่ต้องการ หรือพลอยสีตามวันเกิดเพื่อเสริมดวงนำมาประดับลงบนเรือนแหวนด้วยเทคนิคฝังสอด (Channel Setting) เกิดเป็นแบบแหวนพลอยผู้ชายแบบแถวที่ดูทันสมัย เหมาะสำหรับใครที่อยากมีแบบแหวนแต่งงานแบบโดดเด่นไม่เหมือนใคร

แหวนพลอยหลังเบี้ย (Cabochon): แบบแหวนพลอยผู้ชายเช่นนี้ถือเป็นแบบแหวนที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ส่องประกายจนดูโดดเด่นจนเกินไป อีกทั้งช่วยเพิ่มสไตล์ให้ตัวคุณ แบบไม่ต้องพยายามมาก ดูสุขุมและมีมาด

แบบแหวนพลอยผู้ชายประเภทนี้มักประดับด้วยพลอยที่มีการเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือที่เรียกว่า Cabochon ที่ทำให้รูปทรงของพลอยมีรูปแบบโค้งมนเหมือนหยดน้ำ

พลอยที่เป็นที่นิยมในการเจียระไนแบบหลังเบี้ยสำหรับแบบแหวนพลอยผู้ชาย ก็มีทั้งหยก อำพัน เทอร์คอยส์ โอปอ ตาแมว รวมไปถึงนิลกาฬหรือ Onyx พลอยสีดำที่หลายคนมองข้าม แต่กลับเข้ากันได้กับทุกลุคของผู้ชายเลยทีเดียวค่ะ

เพราะการครอบครองแหวนพลอยสักชิ้น ก็ทำให้คุณได้ชื่นชมความงดงามเป็นเอกลักษณ์ของพลอยเม็ดนั้นๆ อันเป็นผลผลิตจากกระบวนการทางธรรมชาติใต้พื้นโลกมาอยู่บนเรือนนิ้วตรงหน้าคุณ

อีกทั้งสีสันของพลอยและคุณลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่หลากหลาย ก็ทำให้คุณสามารถสนุกไปกับการมิกซ์แอนด์แมทช์แบบแหวนพลอยที่ต้องการได้อย่างไม่รู้จบ ช่วยเสริมลุคให้ดูเป็นตัวคุณได้อย่างแท้จริง อีกทั้งในบางทีก็ช่วยเสริมดวงและเสริมความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของคุณได้อีกด้วย

และถ้าหากคุณอยากลองเริ่มต้นสั่งทำแบบแหวนพลอยสวยๆ สักวง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร คุณก็สามารถเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการออกแบบแหวนพลอยได้ที่อโบฟไดมอนด์ที่นี่เลยนะคะ

Leave a Comment