สำหรับแบรนด์นี้เราต้องว่า ใครที่ชื่นชอบอัญมณี ที่จะมีการออกแบบดีไซน์สุดหรู พร้อมทั้งยังมีเอกลักษณ์ที่ต้องบอกเลยว่า มันคืองานศิลปะชั้นยอด ที่ได้มีการผสมผสานศิลปะของกรีกโรมัน เข้าด้วยกันอย่างลงตัวมากเลยทีเดียว แต่อย่างที่ว่า กว่าที่จะมาเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ ก็จะต้องผ่านเรื่องอะไร มามากมายพอสมควร และบางทีการที่เป็นเพียงแค่ร้าน เครื่องเงินเก่าแก่สุดแสนจะธะรรมดา จู่ๆมาวันนึงก็กลับกลายมาเป็น แบรนด์ชั้นสูง สำหรับอัญมณีที่ได้รับ ความนิยมไปทั่วทั้งโลกมาได้ และกลายเป็น อัญมณีชั้นสูง ที่หลายๆท่านนั้น จะต้องใฝ่ฝันและ ต้องการมาครอบครองอย่างแน่นอน และสำหรับวันนี้เราก็จะพาทุกท่าน มาย้อนรอยประวัติของแบรนด์ บุลการิ ที่ได้เป็นแบรนด์ที่มีตำนานกับ เครื่องประดับรูปงูที่เป็นเครื่องราง ที่มีการสร้างสรรค์อย่างสวยงาม พร้อมทั้งยังรู้สึกล้ำค่า ไม่เคยเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเลยทีเดียว
ด้วยความที่แบรนด์ นั้นเป็นแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้น มักจะรู้จักชื่อเสียงเลียงนาม ของแบรนด์ว่าจุดเด่นคืออะไร แต่ใครจะรู้บ้างว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์นั้น มาจากใคร มาจากอะไร ที่ทำให้แบรนด์นั้นได้มากเป็นแบรนด์ชั้นสูงระดับโลก อย่างเช่นทุกวันนี้ และวันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกท่านกันว่า ใครคือคนให้กำเนิด อัญมณีชั้นสูง
โดยจุดกำเนิดของแบรนด์ ได้เริ่มต้นมาจาก ชายคนนี้ นั้นก็คือ โดยสำหรับชายคนนี้นั้น ได้อาศัยอยู่ที่ ตอนเหนือของกรีก ในหมู่บ้าน Kalarites และสำหรับโซเทริโอ ตัวของเขาเองนั้น ก็ได้เป็นช่างฝีมือที่ได้มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการทำเครื่องประดับจากเงิน และเครื่องเงินโบราณ
ซึ่งตัวเขาเองนั้น ก็ได้อพยพมาอยู่ที่อิตาลี ปี ค.ศ. 1880 และต่อมาอีก 4 ปีเขานั้น ก็ได้เริ่มที่จะ มีการเปิดร้านของตนเองเครื่องประดับบนถนน Via Sistina ในกรุงโรม เป็นแห่งแรก ซึ่งสำหรับตัวเขาเองนั้น ก็ได้มีฝีมือ ในการทำเครื่องประดับอยู่พอตัวเลยทีเดียว เพราเขานั้นได้ใส่ใจ ปราณีต และมีสไตล์อย่างมากที่สุด
เพราะต้องบอกว่าเครื่องประดับ ที่เขาทำขึ้นมานั้น เขาเองได้มีการสร้างสรรค์ เครื่องประดับออกมา ให้มีสีสีนของหินสี กับอัญมณี ที่มีความโดเด่นเป็นอย่างมาก และนี้คือสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับ แบรนด์ BVLGARI ที่ประเทศอิตาลี โดยความงามของอัญมณีที่เขานั้นได้ออกแบบ และให้ความเลิศหรู ที่ได้ทำผ่านออกมาจากเครื่องประดับ
พร้อมทั้งสำหรับตัวแบรนด์เองนั้น ก็ได้มีแนวคิดที่ เริ่มจะพัฒนาและใส่ใจ กับการทำเครื่องประดับ อัญมณีที่เกี่ยวกับ จักรราศี โดยสิ่งนี้ได้ทำให้แบรนด์นั้น กลายมาเป็นภาพลักษณ์ที่โดเด่นสุดๆ สำหรับแบรนด์เลยก็ว่าได้นะ
สำหรับตัวแบรนด์เองนั้น ได้มีการนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ผ่านการทำอัญมณีสุดล้ำค่า ในการที่โซเทริโอ บุลการิ นั้นได้ทำเครื่องประดับเงิน ที่เขาทำแล้วได้รับความนิยม อย่างมากที่สุด โดยที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ นั้นได้เดินทางมายังกรุงโรม เพื่อที่จะทำการท่องเที่ยว เยี่ยมชมวัฒนธรรมอัน ดั้งเดิมของท้องถิ่น
ก็ได้ทำให้ ธุรดิจของร้านเขานั้น มีความประสบความเร็จอย่างสูง เพราะหลังจากการ ที่เขานั้นได้เปิดร้านแรกที่ Via Sistina ตัวของโซเทริโอ บุลการิ เอวนั้นก็ได้เปิดร้านค้า แห่งใหม่อีกหลายแห่ง ทั้งใน Via Condotti และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆอีกด้วย
สำหรับ โซเทริโอ บุลการิ นั้นก็ได้มีบุตรชาย 2 คน ชื่อว่า โจรโจ่ บุลการิ (Giorgio Bulgari) และ คอสแตนติโน่ บุลการิ (Costantino Bulgari) ซึ่งพวกเขานั้นก็ได้ สืบทอดต่อกิจการของครอบครัว และพยายามที่จะพัฒนาธุรกิจ เครื่องประดับ ที่พ่อเขาได้สร้างขึ้น ให้ประสบความสำเร็จมากกว่านี้
และทั้งคุ๋นั้น ก็ได้เริ่มมองเห็นช่องทางไปต่อของธุรกิจ นั้นก็คือโจรโจ่ และคอสแตนติโน่ ก็ได้มีการเสนอแนวคิดที่ จะทำให้เขานั้น ได้สร้างจุดยืนของแบรนด์ และให้มุ่งเน้นไปในเรื่องของ การผลิตเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง ก็เพื่อที่ธุรกิจจะได้เติบโตมากขึ้น และความคุณค่า พร้อมทั้งเอกลักษณ์ให้กับตนเองได้อย่างดี
และสำหรับ ในช่วงต้นของการที่พวกเขานั้น ได้เริ่มทำ เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง เมื่อปี ค.ศ. 1920 ที่เขานั้นได้นำทองคำขาว มาประดับด้วยเพชร ที่มีการเจียระไนใ ห้เป็นรูปทรงเรขาคณิต พร้อมกับการออกแบบสไตล์ Art Déco (อลังการศิลป์) จึงทำให้แบรนด์ของเขานั้น เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยที่แบรนด์BVLGARI นั้นก็ได้มีสไตล์ ในการออกแบบเป้นตัวตนของตัวเอง ได้ออกมาสูงมากเลยทีเดียว เพราะเขานั้น มีการออกแบบเครื่องประดับ ให้ออกมาราวกับศิลปะ แบบอิตาเลียนแท้ๆ อีกทั้งเขานั้นยังได้มี เครื่องประดับ โดยให้มีเฉดสี เหลืองทองโดยมันได้ให้ความรู้สึกหรูหรา ยิ่งทำให้แบรนด์นั้นมีเอกลักษณ์ที่โดเด่นมากขึ้น
แต่ละแบรนด์นั้นก้จะ มีเอกลักษณื มีจุดขายที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับ นั้นในปี ค.ศ. 1940 เขาก็มีการ วางขายสินค้า ที่ทำให้แบรนด์นั้น เป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ ต้องบอกเลยว่า หลายๆท่านนั้น ก็อาจจะคุ้นเคยกันดีกับ บอกเลยว่าแค่เห้น ก็ร้องอ๋อแล้ว ว่ามาจากแบรนด์อะไร
ซึ่งสำหรับตัว กำไลรูปงู Serpenti นั้นก็ได้รับแรงบัลดาลใจจาก ตำนานโบราณ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับงู ที่ได้ถูกตีความหมายให้ออกมาว่า มันคือสัญลักษณ์แห่งปัญญา การเกิดใหม่ และความมีชีวิตชีวา นั่นเอง ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้ หยิบยก ลวดลายของงูมารังสรรค์ แล้วได้ออกมาเป็นนาฬิกาอัญมณี
พร้อมทั้งกำไลข้อมือสุดหรู ที่ได้มีองค์ประกอบของ งูที่ได้ถูกจำลองมาอยู่ในตัวเรือนทั้งหมก อีกทั้งมีการทำอัญมณี เพื่อที่จะทำหารเลียนแบบเกล็ดของงู และส่วนของนาฬิกา ก็จะได้ถูกซ่อนไว้ในหัวของงู ซึ่งมีเอกลักษณ์การดีไซน์เฉพาะตัวแบบสุดๆ เรียกได้ว่า ความละเอียดและปราณีตได้ ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อกาลเวลาผ่านไป รูปแบบและสไตล์ ความนิยมก็จะเปลี่ยนตามๆ ต้องบอกก่อนเลยนะว่า สำหรับใครที่ชื่นชอบ ความคลาสลิคของแบรนด์ ก็ไม่มีปัญหา แต่ทางแบรนด์เองนั้น ก็อยากที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ ของสินค้า ให้มีความร่วมสมัย และทันสมัยมากขึ้นด้วย
โดยทางวแบรนด์นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนโฉม ใหม่ในคอลเลคชั่นปี 2018 โดยก็ได้วางแนวคิดที่อยากจะให้ ตัวนาฬิกานั้น มีความเป็นกำไลมากยิ่งขึ้น โดยเขาก็ได้ออกแบบให้ ตัวเรือนของนาฬิกา มีรูปร่างที่ขดม้วนราวกับตัวงูนั้นทำจากซึ่งจะทำจาก ทองคำ ทองคำขาว และพิงค์โกลด์ แถมัยงเป็นการผสมผสาน ของทองคำทั้งสามชนิดที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัวมากที่สุด
และหน้าปัดก็ได้มีการดีไซน์ ให้คล้ายกับหัวของงู มีการประดับเพชรทั้งหมด 38 เม็ดซึ่งสำหรับเจ้าตัว นาฬิกางูเรือนนี้ก็ได้สร้างเสน่ห์ ความเย้ายวนใจ จนทำให้กระแสตอบรับกลับมาดีเกินคาด เพราะหลายๆคนนั้น ก็นิยม และรู้สึกว่าการแบบนี้นั้นให้อะไรเรามากกว่าที่คิด เหมือนกับยิ่งตอกย้ำชื่อเสียง ในด้านการออกแบบที่โดดเด่น สง่างามและหรูหรา ของแบรนด์BVLGARI ได้อย่างดีที่สุด
ต้องบอกเลยว่า แบรนด์ของเขานั้น ก็ไม่ได้ที่จะหยุดพัฒนา เครื่องประดับสินค้า ที่จะมีเพียงแค่ อัญมณี นาฬิกา หรือเครื่องประดับอื่นๆเท่านั้น ทางแบรนด์นั้น ก็ได้เล็งเห็นว่า นน้ำหอม มันก็คือเครื่องประดับร่างกายอีกหนึ่ง ที่สร้างเสน่ห์ให้แก่เราได้อย่างเหลอเชื่อ
เพราะตัวน้ำหอมนั้น ก็ได้บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของผู้ใช้ และมันก็คงไม่พ้น น้ำหอมสุดคลาสสิคของแบรนด์อย่างตัว BVLGARI Omnia Amethyste Eau de Toilette ซึ่งกลิ่นของมันนั้น ก็จะมีกลิ่นหอมหวาน ที่จะได้รับแรงบันดาลใจ ที่ได้มาจากอัญมณีสีม่วงอย่าง Amethyste
ซึ่งก็ถือว่าได้ เป็นตัวแทนของความสง่างาม และความมั่นใจของผู้หญิงยุคใหม่ ที่ตัวน้ำหอมนั้นก็จะ เป็นตัวช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองได้อย่างแท้จริง และต้องบอกเลยว่า ปัจจุบันแบรนด์นั้น ก็ได้เป็นแบรนด์ที่ได้อยู่ในวงการ Luxury Brand ที่อยู่มายาวนานมากกว่า 140 ปี
ซึ่งต้องบอกว่าได้เป็นแบรนด์ อันดับต้นๆของโลก ที่ถือว่าทรงอิทธิพล และความเติบโตของธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งมีข้อมูลมาจากปี 2018 ที่ทางแบรนด์นั้นได้ทำรายได้มูลล่า ที่สูงถึง80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 2,500 ล้านบาท นั่นเอง ต้องบอกเลยว่ากว่าที่จะประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ได้ก็อาศัยเวลา ที่ยาวนานมากเสียจริง เพียงแค่เราตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ และใส่ใจกับสินค้าทุกชิ้น ก็ทำให้ความสำเร็จนั้นอยู่ตรงหน้าแน่นอน